วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Army Ant (มดทหาร)
พวกมันไม่อันตรายถ้าหากอยู่ตัวเดียว แต่โชคร้ายที่มันอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่มากแถมเดินทางไปทั่ว พวกมันพบมากที่สุดในแอฟริกาและเอเชีย มดพวกนี้จะสร้างรังชั่วคราวขึ้นในขณะที่มันกำลังเดินทางด้วย! อันตรายที่น่ากลัวที่สุดของมันคือเวลาที่มันยกพวกบุกเข้าบ้าน เมื่ออาหารของพวกมันขาดแคลน มดพวกนี้จะรวมกลุ่มกันมากกว่า50ล้านตัว เคยมีบันทึกว่า ส่วนมากเด็กถูกฆ่าอย่างทรมานโดยการที่มดพวกนี้คลานเข้าไปในปอด (บรึ๋ยยยย) และถูกรุมกัดทั้งตัว 
เครดิต
ที่มา https://minimore.com/f/dangerous-ant-of-the-world-66
Bulldog Ant
เจ้ามดบูลด๊อก เรียกได้ว่าเป็นมดกินคนที่อันตรายที่สุดในโลก มีสายพันธ์ย่อยๆกว่า 94 สายพันธ์ โดยบูลด๊อกเป็นพันธุ์ที่อันตรายที่สุด เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดได้ถึงสี่เซนติเมตร มีถิ่นกำเนิดจากออสเตรเลีย ได้ลงบันทึก Guinness World Record ว่าเป็นมดที่อันตรายที่สุดในโลก จากนิสัยก้าวร้าว ดุร้ายของมัน และยังมีขนาดของฟันและกรามที่ใหญ่โตเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีพิษรุนแรงซึ่งถ้าเข้าสู่กระแสเลือดแล้วยังเป็นอันตรายถึงชีวิต ถ้าโดนรุมทั้งฝูงหมดหละก็ เนื้อหนังของเราจะหายไปอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว
เครดิต
ที่มาhttps://minimore.com/f/dangerous-ant-of-the-world-66
 Bull Ant (มดวัว)
เป็นมดที่อาศัยในป่าออสเตรเลียตะวันออก เจ้ามดวัวเป็นสายพันธุ์โบราณ ซึ่งมีนิสัยแตกต่างจากมดชนิดอื่นๆ ตรงที่มันชอบฉายเดี่ยวล่าเหยื่อ(เท่แฮะ) นอกจากกัดแล้วมันยังต่อยได้อีก เพราะมันมีเหล็กในที่ก้น นอกจากนั้นยังมีสายตามองไกลถึง 2 เมตร เรียกได้ว่าน่ากลัวจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีจุดอ่อนคือมันไม่สามารถรับกลิ่นต่างๆ ได้ดีเท่ามดทั่วไปดังนั้นมันจึงอาศัยด้วยตาแทน ที่จริงแล้วมดวัวไม่มีพิษที่อันตรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ความเจ็บปวดนั้นเรียกได้ว่าราวกับลงนรกเลยทีเดียว ทั้งแสบร้อน ปวด และยังมีฤทธิ์นานหลายวันเลยทีเดียว
เครดิต
ที่มาhttps://minimore.com/f/dangerous-ant-of-the-world-66
มดคันไฟ อินวิคต้า
เป็นมดที่อาศัยในป่าออสเตรเลียตะวันออก เจ้ามดวัวเป็นสายพันธุ์โบราณ ซึ่งมีนิสัยแตกต่างจากมดชนิดอื่นๆ ตรงที่มันชอบฉายเดี่ยวล่าเหยื่อ(เท่แฮะ) นอกจากกัดแล้วมันยังต่อยได้อีก เพราะมันมีเหล็กในที่ก้น นอกจากนั้นยังมีสายตามองไกลถึง 2 เมตร เรียกได้ว่าน่ากลัวจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีจุดอ่อนคือมันไม่สามารถรับกลิ่นต่างๆ ได้ดีเท่ามดทั่วไปดังนั้นมันจึงอาศัยด้วยตาแทน ที่จริงแล้วมดวัวไม่มีพิษที่อันตรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ความเจ็บปวดนั้นเรียกได้ว่าราวกับลงนรกเลยทีเดียว ทั้งแสบร้อน ปวด และยังมีฤทธิ์นานหลายวันเลยทีเดียว
เครดิต
ที่มาhttps://minimore.com/f/dangerous-ant-of-the-world-66

วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560

กบแอฟริกันบูลฟร็อก

กบแอฟริกันบูลฟร็อก (อังกฤษAfrican bullfrogชื่อวิทยาศาสตร์Pyxicephalus adspersus) เป็นกบชนิดที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ลำตัวมีสีน้ำตาลปนเขียว จุดสีน้ำตาล บริเวณส่วนหัวสีเขียวเคลือบน้ำตาล ขาทั้งสี่มีลายน้ำตาลดำ ขาหลังมีลายขวาง ลำตัวอ้วนข้างท้องมีลายน้ำตาลใต้ท้องเป็นสีขาว ผิวหนังส่วนใหญ่เรียบจะมีบ้างเป็นบางส่วนที่ขรุขระ มีถิ่นกำเนิดที่ทวีปแอฟริกาแถบแอฟริกากลางจนถึงแอฟริกาใต้
ความแตกต่างระหว่างตัวผู้กับตัวเมีย นอกจากอวัยวะเพศแล้วตัวผู้จะมีวงแก้วหูใหญ่กว่าตาและอยู่ทางด้านหลัง ลำตัวจะมีสีเข้มบริเวณใต้คางซึ่งมีสีจะเหลืองปนเขียวอย่างชัดเจนบริเวณใต้คางจะเป็นสีเหลือง แต่เพศเมียผิวหนังจะสดใสกว่าและมีวงแก้วหูเล็กกว่าตา
กบแอฟริกันบูลฟร็อกเมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดยาวประมาณ 8-10 นิ้ว พร้อมผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ 12-18 เดือน ตัวผู้จะส่งเสียงร้องคล้ายวัวเพื่อหาคู่ จึงเป็นที่มาของชื่อ (บูลฟร็อก = กบวัว) หากตัวเมียที่มีความพร้อมบริเวณเอวจะพองโต ท้องอูมเมื่อพลิกด้านท้องขึ้นจะไม่เห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนัง เมื่อไข่ถูกผสมน้ำเชื้อแล้วจะฟักออกเป็นตัวภายในเวลา 3 วัน เมื่อฟักเป็นลูกอ๊อดแล้ว ตัวผู้จะเป็นผู้ดูแล เมื่อแหล่งน้ำที่ลูกอ๊อดอาศัยอยู่นั้นเหือดแห้งลง กบแอฟริกันบูลฟร็อกตัวผู้จะใช้ขาหลังขุดดินเพื่อให้แหล่งน้ำที่ลูกอ๊อดอยู่นั้นเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำที่ใหญ่กว่า เพื่อให้ลูกอ๊อดอยู่รอดต่อไป[2]
กบแอฟริกันบูลฟร็อก ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ เช่น สัตว์เลื้อยคลานสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ โดยเฉพาะวัยรุ่น โดยมีราคาขายประมาณ 1,500-2,000 บาทต่อตัว ด้วยความที่ใหญ่ในรูปร่างที่ใหญ่กว่ากบทั่วไป จึงอาจสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่จะก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคต เนื่องจากกินกบหรือเขียดขนาดเล็ก, ลูกปลาและสัตว์ชนิดอื่นเป็นอาหาร[3]
เครดิต
ที่มาhttps://th.wikipedia.org/wiki/

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ไซยาไนด์ (อังกฤษ: cyanide)
ลักษณะทางกายภาพ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ถ้าเป็นของเหลว จะเป็นของเหลวใส ระเหยเป็นแก๊สได้ง่าย ที่อุณหภูมิห้อง มีกลิ่นเฉพาะตัวเรียกว่ากลิ่นอัลมอนด์ขม (Bitter almond) เมื่อกลายเป็นแก๊ส จะเป็น แก๊สไม่มีสี มีกลิ่นอัลมอนด์ขมเช่นกัน สำหรับโซเดียมไซยาไนด์และโพแทสเซียมไซยาไนด์ เป็นของแข็ง มีลักษณะเป็นเกร็ดสีขาว มีกลิ่นอัลมอนด์ขมอ่อนๆ
คำอธิบาย ไซยาไนด์ (Cyanides) เป็นกลุ่มของสารเคมีที่มีไซยาไนด์ไอออน (CN-) เป็นองค์ประกอบ สารเคมีกลุ่มนี้มีความเป็นพิษสูงมาก ใช้ในการทำงานบางอย่าง เช่น การชุบโลหะ การสังเคราะห์สารเคมี การตรวจวิเคราะห์ทางเคมีในห้องปฏิบัติการ สารประกอบกลุ่มที่เป็นเกลือไซยาไนด์ (Cyanide salts) มีหลายชนิด ที่พบบ่อย เช่น โซเดียมไซยาไนด์ (Sodium cyanide) โพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium cyanide) หรือพบในรูปเกลือชนิดอื่นๆ เช่น แคลเซียมไซยาไนด์ (Calcium cyanide) ไอโอดีนไซยาไนด์ (Iodine cyanide) เป็นต้น เมื่อเกลือไซยาไนด์สัมผัสกับกรด หรือมีการเผาไหม้ของพลาสติกหรือผ้าสังเคราะห์ จะได้แก๊สไฮโดรเจนไซยาไนด์ (Hydrogen cyanide) เกิดขึ้น แก๊สชนิดนี้มีพิษอันตรายเช่นเดียวกับเกลือไซยาไนด์ แต่แพร่กระจายได้ง่ายกว่า เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของการเสียชีวิตในผู้ที่สูดควันไฟกรณีที่มีไฟไหม้ในอาคาร นอกจากนี้ยังพบแหล่งของไซยาไนด์ในธรรมชาติได้จากสารอะมิกดาลิน (Amygdalin) ซึ่งพบได้ในเมล็ดของแอพพริคอท (Apricot) และเชอรรี่ดำ (Black cherry) และสารลินามาริน (Linamarin) ซึ่งพบได้ในหัวและใบของมันสำปะหลัง (Cassava) ในประเทศไทยพบมีรายงานพิษไซยาไนด์เนื่องจากการกินมันสำปะหลังได้บ้างพอสมควร และบางรายถึงกับทำให้เสียชีวิต

อันตรายของไซยาไนด์[แก้]

ไซยาไนด์สามารถฆ่าคนได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้จากหลายเส้นทาง ทั้งการสูดก๊าซไซยาไนด์เข้าไป การกินไซยาไนด์ทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ หรือแม้แต่การสัมผัสกับสารไซยาไนด์ หากกินไซยาไนด์เข้าไปขณะท้องว่างจะใช้เวลาออกฤทธิ์เป็นหน่วยนาที แต่ถ้ามีอาหารอยู่เต็มกระเพาะแล้ว จะหน่วงเวลาเสียชีวิตเป็นหน่วยชั่วโมงแทน เพราะในกระเพาะเรามีกรดที่ใช้ในการย่อยอาหารอยู่ การกินเกลือไซยาไนด์เข้าไปขณะท้องว่าง ไซยาไนด์จะทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะ เป็นก๊าซไซยาไนด์อยู่ในกระเพาะอาหารและออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าสูดไฮโดรเจนไซยาไนด์เข้าไปจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่วินาที
ความเข้มข้นของไซยาไนด์ก็มีผลกับความเร็วมาก ถ้าจับคนล็อกไว้ในห้องก๊าซขนาด 1x1x1 เมตร แล้วปล่อยไฮโดรเจนไซยาไนด์เข้าไปประมาณ 300 มิลลิกรัม เขาจะเสียชีวิตในทันที แต่ถ้าปล่อยไฮโดรเจนไซยาไนด์ 150 มิลลิกรัมเข้าไป เขาจะมีเวลาอีกประมาณ 30 นาทีก่อนเสียชีวิต แต่ถ้าปล่อยก๊าซเข้าไปเพียง 20 มิลลิกรัม เขาจะยังไม่เสียชีวิต เพียงแต่จะมีอาการผิดปกติเล็กน้อยหลังจากนั้น

กลไกการออกฤทธิ์ของไซยาไนด์[แก้]

กลไกการเกิดพิษของสารกลุ่มไซยาไนด์นั้น เกิดจากไปจับกับ Cellular Cytochrome Oxidase ทำให้เซลล์ใช้ออกซิเจนไม่ได้ (ยับยั้งการหายใจของเซลล์) [1]
พิษของ cyanide เกิดจาก CN- จะจับกับโมเลกุลที่มีประจุบวก ที่สำคัญคือ โมเลกุลของ เหล็ก (Fe) ซึ่งมีทั้ง Ferrous (Fe 2+) ซึ่งอยู่ใน hemoglobin ปกติ และ Ferric ion (Fe 3+) ซึ่งอยู่ใน myoglobin ปกติ แต่ CN- จะจับกับ Ferric ion ได้ดีกว่า Ferrous ทำให้เมื่อ CN- เข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปจับกับ Ferric ion ใน myoglobin เนื่องจาก myoglobin ทำงานในระบบ electron transport ที่ mitochondri ทำให้ได้ พลังงาน น้ำ และ carbon dioxide เมื่อ CN- จับกับ myoglobin ก็จะขัดขวางไม่ให้ขบวนการ electrontransport ทำงานได้ตามปกติ เซลล์ของ ร่างกายจึงอยู่ในสภาพของ anoxia และเกิดภาวะ lactic acidosis ในที่สุด สมองเป็นอวัยวะที่ทนต่อภาวะ anoxia ได้น้อยที่สุด ผู้ป่วยจึงมักมีอาการทางสมองเช่น ชัก หมดสติ มีการหายใจผิดปกติเนื่องจาก มีการกดศูนย์ควบ คุม การหายใจ แต่ผู้ป่วยไม่เขียว (cyanosis) ในช่วงแรกๆถึงแม้ว่าจะหยุดหายใจเนื่องจากร่างกาย ไม่สามารถใช้ออกซิเจน ได้ ในทางการแพทย์สามารถยืนยันการวินิจฉัย โดยการตรวจ Fundi จะพบว่ามีสีของเส้นเลือดดำและแดงใน retina ไม่แตกต่างกัน สำหรับใน chronic cyanide poisoning มักจะเป็นแบบ hypoxic encephalopathy อาจจะแสดงออก ในลักษณะ neuropsychiatry ส่วนเส้นประสาทสมองเส้นที่ 2 (optic nerve) มักจะมีรายงานถึงพิษจาก cyanide เป็นแบบ optic nerve atrophy
เครดิต
ที่มาhttps://th.wikipedia.org/wiki/


แมงป่องแส้
แมงป่องแส้ หรือ แมงป่องหางแส้ (อังกฤษWhip scorpion) เป็นสัตว์ขาปล้องจำพวกแมงจำพวกหนึ่ง อยู่ในอันดับ Thelyphonida
แมงป่องแส้ มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับแมงป่อง มีขา 4 คู่ แต่ขาคู่หน้าเรียวยาวพัฒนาเป็นอวัยวะรับสัมผัส และมีขนยาวตอนปลายลำตัวมีลักษณะยาวคล้ายแส้ ไม่มีอวัยวะในการต่อย จึงเป็นสัตว์ที่ไม่มีพิษ แต่ก็สามารถปล่อยสารเคมีที่มีกลิ่นฉุนออกมา ซึ่งเป็นกรดอเซติคเป็นส่วนใหญ่ ใช้สำหรับป้องกันตัวไม่ใช้ล่าเหยื่อ อันสามารถขับไล่แมลงบางจำพวกอย่าง มด หรือเห็บไปได้
แมงป่องแส้ สามารถจัดจำแนกได้ตามลักษณะของหาง ซึ่งมีทั้งยาวและสั้น แพร่กระจายพันธุ์ในป่ารวมถึงในเมืองในภูมิภาคที่มีอากาศแบบเมืองร้อนหรือกึ่งเขตร้อนทั้งในทวีปยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย จนถึงออสเตรเลีย [1] ในปี ค.ศ. 2006 มีการจำแนกแมงป่องแส้ออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้มากกว่า 100 ชนิด ส่วนชนิดที่รู้จักและพบในไทย รวมถึงพม่าและกัมพูชา มีประมาณ 30 ชนิดหรือมากกว่า[2] [3] [4]
เครดิต
ที่มาhttps://th.wikipedia.org/wiki