วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Army Ant (มดทหาร)
พวกมันไม่อันตรายถ้าหากอยู่ตัวเดียว แต่โชคร้ายที่มันอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่มากแถมเดินทางไปทั่ว พวกมันพบมากที่สุดในแอฟริกาและเอเชีย มดพวกนี้จะสร้างรังชั่วคราวขึ้นในขณะที่มันกำลังเดินทางด้วย! อันตรายที่น่ากลัวที่สุดของมันคือเวลาที่มันยกพวกบุกเข้าบ้าน เมื่ออาหารของพวกมันขาดแคลน มดพวกนี้จะรวมกลุ่มกันมากกว่า50ล้านตัว เคยมีบันทึกว่า ส่วนมากเด็กถูกฆ่าอย่างทรมานโดยการที่มดพวกนี้คลานเข้าไปในปอด (บรึ๋ยยยย) และถูกรุมกัดทั้งตัว 
เครดิต
ที่มา https://minimore.com/f/dangerous-ant-of-the-world-66
Bulldog Ant
เจ้ามดบูลด๊อก เรียกได้ว่าเป็นมดกินคนที่อันตรายที่สุดในโลก มีสายพันธ์ย่อยๆกว่า 94 สายพันธ์ โดยบูลด๊อกเป็นพันธุ์ที่อันตรายที่สุด เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดได้ถึงสี่เซนติเมตร มีถิ่นกำเนิดจากออสเตรเลีย ได้ลงบันทึก Guinness World Record ว่าเป็นมดที่อันตรายที่สุดในโลก จากนิสัยก้าวร้าว ดุร้ายของมัน และยังมีขนาดของฟันและกรามที่ใหญ่โตเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีพิษรุนแรงซึ่งถ้าเข้าสู่กระแสเลือดแล้วยังเป็นอันตรายถึงชีวิต ถ้าโดนรุมทั้งฝูงหมดหละก็ เนื้อหนังของเราจะหายไปอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว
เครดิต
ที่มาhttps://minimore.com/f/dangerous-ant-of-the-world-66
 Bull Ant (มดวัว)
เป็นมดที่อาศัยในป่าออสเตรเลียตะวันออก เจ้ามดวัวเป็นสายพันธุ์โบราณ ซึ่งมีนิสัยแตกต่างจากมดชนิดอื่นๆ ตรงที่มันชอบฉายเดี่ยวล่าเหยื่อ(เท่แฮะ) นอกจากกัดแล้วมันยังต่อยได้อีก เพราะมันมีเหล็กในที่ก้น นอกจากนั้นยังมีสายตามองไกลถึง 2 เมตร เรียกได้ว่าน่ากลัวจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีจุดอ่อนคือมันไม่สามารถรับกลิ่นต่างๆ ได้ดีเท่ามดทั่วไปดังนั้นมันจึงอาศัยด้วยตาแทน ที่จริงแล้วมดวัวไม่มีพิษที่อันตรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ความเจ็บปวดนั้นเรียกได้ว่าราวกับลงนรกเลยทีเดียว ทั้งแสบร้อน ปวด และยังมีฤทธิ์นานหลายวันเลยทีเดียว
เครดิต
ที่มาhttps://minimore.com/f/dangerous-ant-of-the-world-66
มดคันไฟ อินวิคต้า
เป็นมดที่อาศัยในป่าออสเตรเลียตะวันออก เจ้ามดวัวเป็นสายพันธุ์โบราณ ซึ่งมีนิสัยแตกต่างจากมดชนิดอื่นๆ ตรงที่มันชอบฉายเดี่ยวล่าเหยื่อ(เท่แฮะ) นอกจากกัดแล้วมันยังต่อยได้อีก เพราะมันมีเหล็กในที่ก้น นอกจากนั้นยังมีสายตามองไกลถึง 2 เมตร เรียกได้ว่าน่ากลัวจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีจุดอ่อนคือมันไม่สามารถรับกลิ่นต่างๆ ได้ดีเท่ามดทั่วไปดังนั้นมันจึงอาศัยด้วยตาแทน ที่จริงแล้วมดวัวไม่มีพิษที่อันตรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ความเจ็บปวดนั้นเรียกได้ว่าราวกับลงนรกเลยทีเดียว ทั้งแสบร้อน ปวด และยังมีฤทธิ์นานหลายวันเลยทีเดียว
เครดิต
ที่มาhttps://minimore.com/f/dangerous-ant-of-the-world-66

วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560

กบแอฟริกันบูลฟร็อก

กบแอฟริกันบูลฟร็อก (อังกฤษAfrican bullfrogชื่อวิทยาศาสตร์Pyxicephalus adspersus) เป็นกบชนิดที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ลำตัวมีสีน้ำตาลปนเขียว จุดสีน้ำตาล บริเวณส่วนหัวสีเขียวเคลือบน้ำตาล ขาทั้งสี่มีลายน้ำตาลดำ ขาหลังมีลายขวาง ลำตัวอ้วนข้างท้องมีลายน้ำตาลใต้ท้องเป็นสีขาว ผิวหนังส่วนใหญ่เรียบจะมีบ้างเป็นบางส่วนที่ขรุขระ มีถิ่นกำเนิดที่ทวีปแอฟริกาแถบแอฟริกากลางจนถึงแอฟริกาใต้
ความแตกต่างระหว่างตัวผู้กับตัวเมีย นอกจากอวัยวะเพศแล้วตัวผู้จะมีวงแก้วหูใหญ่กว่าตาและอยู่ทางด้านหลัง ลำตัวจะมีสีเข้มบริเวณใต้คางซึ่งมีสีจะเหลืองปนเขียวอย่างชัดเจนบริเวณใต้คางจะเป็นสีเหลือง แต่เพศเมียผิวหนังจะสดใสกว่าและมีวงแก้วหูเล็กกว่าตา
กบแอฟริกันบูลฟร็อกเมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดยาวประมาณ 8-10 นิ้ว พร้อมผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ 12-18 เดือน ตัวผู้จะส่งเสียงร้องคล้ายวัวเพื่อหาคู่ จึงเป็นที่มาของชื่อ (บูลฟร็อก = กบวัว) หากตัวเมียที่มีความพร้อมบริเวณเอวจะพองโต ท้องอูมเมื่อพลิกด้านท้องขึ้นจะไม่เห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนัง เมื่อไข่ถูกผสมน้ำเชื้อแล้วจะฟักออกเป็นตัวภายในเวลา 3 วัน เมื่อฟักเป็นลูกอ๊อดแล้ว ตัวผู้จะเป็นผู้ดูแล เมื่อแหล่งน้ำที่ลูกอ๊อดอาศัยอยู่นั้นเหือดแห้งลง กบแอฟริกันบูลฟร็อกตัวผู้จะใช้ขาหลังขุดดินเพื่อให้แหล่งน้ำที่ลูกอ๊อดอยู่นั้นเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำที่ใหญ่กว่า เพื่อให้ลูกอ๊อดอยู่รอดต่อไป[2]
กบแอฟริกันบูลฟร็อก ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ เช่น สัตว์เลื้อยคลานสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ โดยเฉพาะวัยรุ่น โดยมีราคาขายประมาณ 1,500-2,000 บาทต่อตัว ด้วยความที่ใหญ่ในรูปร่างที่ใหญ่กว่ากบทั่วไป จึงอาจสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่จะก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคต เนื่องจากกินกบหรือเขียดขนาดเล็ก, ลูกปลาและสัตว์ชนิดอื่นเป็นอาหาร[3]
เครดิต
ที่มาhttps://th.wikipedia.org/wiki/

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ไซยาไนด์ (อังกฤษ: cyanide)
ลักษณะทางกายภาพ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ถ้าเป็นของเหลว จะเป็นของเหลวใส ระเหยเป็นแก๊สได้ง่าย ที่อุณหภูมิห้อง มีกลิ่นเฉพาะตัวเรียกว่ากลิ่นอัลมอนด์ขม (Bitter almond) เมื่อกลายเป็นแก๊ส จะเป็น แก๊สไม่มีสี มีกลิ่นอัลมอนด์ขมเช่นกัน สำหรับโซเดียมไซยาไนด์และโพแทสเซียมไซยาไนด์ เป็นของแข็ง มีลักษณะเป็นเกร็ดสีขาว มีกลิ่นอัลมอนด์ขมอ่อนๆ
คำอธิบาย ไซยาไนด์ (Cyanides) เป็นกลุ่มของสารเคมีที่มีไซยาไนด์ไอออน (CN-) เป็นองค์ประกอบ สารเคมีกลุ่มนี้มีความเป็นพิษสูงมาก ใช้ในการทำงานบางอย่าง เช่น การชุบโลหะ การสังเคราะห์สารเคมี การตรวจวิเคราะห์ทางเคมีในห้องปฏิบัติการ สารประกอบกลุ่มที่เป็นเกลือไซยาไนด์ (Cyanide salts) มีหลายชนิด ที่พบบ่อย เช่น โซเดียมไซยาไนด์ (Sodium cyanide) โพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium cyanide) หรือพบในรูปเกลือชนิดอื่นๆ เช่น แคลเซียมไซยาไนด์ (Calcium cyanide) ไอโอดีนไซยาไนด์ (Iodine cyanide) เป็นต้น เมื่อเกลือไซยาไนด์สัมผัสกับกรด หรือมีการเผาไหม้ของพลาสติกหรือผ้าสังเคราะห์ จะได้แก๊สไฮโดรเจนไซยาไนด์ (Hydrogen cyanide) เกิดขึ้น แก๊สชนิดนี้มีพิษอันตรายเช่นเดียวกับเกลือไซยาไนด์ แต่แพร่กระจายได้ง่ายกว่า เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของการเสียชีวิตในผู้ที่สูดควันไฟกรณีที่มีไฟไหม้ในอาคาร นอกจากนี้ยังพบแหล่งของไซยาไนด์ในธรรมชาติได้จากสารอะมิกดาลิน (Amygdalin) ซึ่งพบได้ในเมล็ดของแอพพริคอท (Apricot) และเชอรรี่ดำ (Black cherry) และสารลินามาริน (Linamarin) ซึ่งพบได้ในหัวและใบของมันสำปะหลัง (Cassava) ในประเทศไทยพบมีรายงานพิษไซยาไนด์เนื่องจากการกินมันสำปะหลังได้บ้างพอสมควร และบางรายถึงกับทำให้เสียชีวิต

อันตรายของไซยาไนด์[แก้]

ไซยาไนด์สามารถฆ่าคนได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้จากหลายเส้นทาง ทั้งการสูดก๊าซไซยาไนด์เข้าไป การกินไซยาไนด์ทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ หรือแม้แต่การสัมผัสกับสารไซยาไนด์ หากกินไซยาไนด์เข้าไปขณะท้องว่างจะใช้เวลาออกฤทธิ์เป็นหน่วยนาที แต่ถ้ามีอาหารอยู่เต็มกระเพาะแล้ว จะหน่วงเวลาเสียชีวิตเป็นหน่วยชั่วโมงแทน เพราะในกระเพาะเรามีกรดที่ใช้ในการย่อยอาหารอยู่ การกินเกลือไซยาไนด์เข้าไปขณะท้องว่าง ไซยาไนด์จะทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะ เป็นก๊าซไซยาไนด์อยู่ในกระเพาะอาหารและออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าสูดไฮโดรเจนไซยาไนด์เข้าไปจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่วินาที
ความเข้มข้นของไซยาไนด์ก็มีผลกับความเร็วมาก ถ้าจับคนล็อกไว้ในห้องก๊าซขนาด 1x1x1 เมตร แล้วปล่อยไฮโดรเจนไซยาไนด์เข้าไปประมาณ 300 มิลลิกรัม เขาจะเสียชีวิตในทันที แต่ถ้าปล่อยไฮโดรเจนไซยาไนด์ 150 มิลลิกรัมเข้าไป เขาจะมีเวลาอีกประมาณ 30 นาทีก่อนเสียชีวิต แต่ถ้าปล่อยก๊าซเข้าไปเพียง 20 มิลลิกรัม เขาจะยังไม่เสียชีวิต เพียงแต่จะมีอาการผิดปกติเล็กน้อยหลังจากนั้น

กลไกการออกฤทธิ์ของไซยาไนด์[แก้]

กลไกการเกิดพิษของสารกลุ่มไซยาไนด์นั้น เกิดจากไปจับกับ Cellular Cytochrome Oxidase ทำให้เซลล์ใช้ออกซิเจนไม่ได้ (ยับยั้งการหายใจของเซลล์) [1]
พิษของ cyanide เกิดจาก CN- จะจับกับโมเลกุลที่มีประจุบวก ที่สำคัญคือ โมเลกุลของ เหล็ก (Fe) ซึ่งมีทั้ง Ferrous (Fe 2+) ซึ่งอยู่ใน hemoglobin ปกติ และ Ferric ion (Fe 3+) ซึ่งอยู่ใน myoglobin ปกติ แต่ CN- จะจับกับ Ferric ion ได้ดีกว่า Ferrous ทำให้เมื่อ CN- เข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปจับกับ Ferric ion ใน myoglobin เนื่องจาก myoglobin ทำงานในระบบ electron transport ที่ mitochondri ทำให้ได้ พลังงาน น้ำ และ carbon dioxide เมื่อ CN- จับกับ myoglobin ก็จะขัดขวางไม่ให้ขบวนการ electrontransport ทำงานได้ตามปกติ เซลล์ของ ร่างกายจึงอยู่ในสภาพของ anoxia และเกิดภาวะ lactic acidosis ในที่สุด สมองเป็นอวัยวะที่ทนต่อภาวะ anoxia ได้น้อยที่สุด ผู้ป่วยจึงมักมีอาการทางสมองเช่น ชัก หมดสติ มีการหายใจผิดปกติเนื่องจาก มีการกดศูนย์ควบ คุม การหายใจ แต่ผู้ป่วยไม่เขียว (cyanosis) ในช่วงแรกๆถึงแม้ว่าจะหยุดหายใจเนื่องจากร่างกาย ไม่สามารถใช้ออกซิเจน ได้ ในทางการแพทย์สามารถยืนยันการวินิจฉัย โดยการตรวจ Fundi จะพบว่ามีสีของเส้นเลือดดำและแดงใน retina ไม่แตกต่างกัน สำหรับใน chronic cyanide poisoning มักจะเป็นแบบ hypoxic encephalopathy อาจจะแสดงออก ในลักษณะ neuropsychiatry ส่วนเส้นประสาทสมองเส้นที่ 2 (optic nerve) มักจะมีรายงานถึงพิษจาก cyanide เป็นแบบ optic nerve atrophy
เครดิต
ที่มาhttps://th.wikipedia.org/wiki/


แมงป่องแส้
แมงป่องแส้ หรือ แมงป่องหางแส้ (อังกฤษWhip scorpion) เป็นสัตว์ขาปล้องจำพวกแมงจำพวกหนึ่ง อยู่ในอันดับ Thelyphonida
แมงป่องแส้ มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับแมงป่อง มีขา 4 คู่ แต่ขาคู่หน้าเรียวยาวพัฒนาเป็นอวัยวะรับสัมผัส และมีขนยาวตอนปลายลำตัวมีลักษณะยาวคล้ายแส้ ไม่มีอวัยวะในการต่อย จึงเป็นสัตว์ที่ไม่มีพิษ แต่ก็สามารถปล่อยสารเคมีที่มีกลิ่นฉุนออกมา ซึ่งเป็นกรดอเซติคเป็นส่วนใหญ่ ใช้สำหรับป้องกันตัวไม่ใช้ล่าเหยื่อ อันสามารถขับไล่แมลงบางจำพวกอย่าง มด หรือเห็บไปได้
แมงป่องแส้ สามารถจัดจำแนกได้ตามลักษณะของหาง ซึ่งมีทั้งยาวและสั้น แพร่กระจายพันธุ์ในป่ารวมถึงในเมืองในภูมิภาคที่มีอากาศแบบเมืองร้อนหรือกึ่งเขตร้อนทั้งในทวีปยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย จนถึงออสเตรเลีย [1] ในปี ค.ศ. 2006 มีการจำแนกแมงป่องแส้ออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้มากกว่า 100 ชนิด ส่วนชนิดที่รู้จักและพบในไทย รวมถึงพม่าและกัมพูชา มีประมาณ 30 ชนิดหรือมากกว่า[2] [3] [4]
เครดิต
ที่มาhttps://th.wikipedia.org/wiki

Amblypygi (แมงมุมแส้)
amblypygid แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า blunt rump แปลว่า "ก้นด้วน" ตามลักษณะที่มันไม่มีหาง แมงในอันดับนี้มีชื่อสามัญ คือ แมงมุมแส้ แมงป่องแส้ไร้หาง และ แมงมุมถ้ำ (whip spider, tailless whip scorpions, cave spider) ในที่นี้ขอเรียกว่าแมงมุมแส้
แมงมุมแส้จะดูคล้ายแมงมุม ตัวแบน abdomen จะเห็นเป็นปล้อง มีตา 1 คู่ที่ส่วนหน้าของ carapace และอีกด้านละ 3 ตา ที่ด้านข้างแต่ละข้าง แต่ไม่ค่อยดีนัก
แต่ที่เด่นชัดคือ pedipalps ที่ยาวมาก ดูคล้ายแขนปูก้ามยาวแต่ส่วนปลายเต็มไปด้วยตะขอหนาม และขาคู่หน้าสุดพัฒนาไปเป็นอวัยวะรับสัมผัส เรียว และ ยาวมากๆ ซึ่งใช้รับสัมผัสต่างๆแทนตา แมงมุมแส้เป็นสัตว์ที่ไม่มีอันตราย รวมถึง ไม่มีต่อพิษ และไม่มีอวัยวะสร้างใย
แมงมุมแส้หากินตอนกลางคืน กลางวันจึงซ่อนตัวอยู่ในที่ที่แสงส่องไม่ถึง ตามซอกหินหรือเปลือกไม้ ปกติชอบอาศัยในสภาพแวดล้อมที่ความชื้นสูง ในการหาอาหารมันจะใช้ ขาคู่หน้าคลำหาเหยื่อ เมื่อรับรู้ว่าเหยื่ออยู่ตรงไหนแล้วก็ค่อยๆเข้าไปใกล้ เอา pedipalps จับไว้ แล้วค่อยกิน
แมงมุมแส้มีลักษณะการผสมพันธุ์คล้ายกับแมงป่อง คือตัวผู้จะนำถุงน้ำเชื้อวางไว้แล้วใช้ pedipalps นำตัวเมียให้ไปคร่อมที่ถุง แล้วตัวเมียจะเก็บถุงนั้นไว้
ลูกที่พึ่งฟักออกมา จะเกาะบน abdomen ของแม่มัน ตัวอ่อนของแมงมุมแส้จะมี pedipalps สีแดง และจะค่อยๆจางลงจนเมื่อโตขึ้น
เครดิต
ที่มาhttp://www.siamensis.org/species_index?nid=890#890--Order: Amblypygi

แมงป่องช้าง

มีลักษณะเด่น คือ ลำตัวใหญ่ มีสีเข้ม เช่น สีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำ มีก้ามขนาดใหญ่ แลดูน่าเกรงขาม มีลำตัวเรียว มีขาจำนวน 4 คู่ มีส่วนหัวและอกอยู่รวมกัน มีตาบนหัวหนึ่งคู่ และตาข้างอีก 3 คู่ตรงกลางหลัง และขอบข้างส่วนหน้า ตรงปากมีก้ามขนาดเล็ก ๆ อีก 1 คู่ ส่วนถัดมาเป็นปล้อง ประกอบด้วยปล้อง 7 ปล้อง ซึ่งปล้องที่ 3 มีอวัยวะสำคัญคือ ช่องสืบพันธุ์ และมีอวัยวะพิเศษ 1 คู่ มีรูปร่างคล้ายหวี ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากการสั่นของพื้นดิน ส่วนสุดท้ายคือส่วนหางเรียวยาว ประกอบด้วยปล้อง 5 ปล้องกับปล้องสุดท้าย คือ ปล้องพิษ มีลักษณะพองกลมปลายเรียวแหลม คล้ายรูปหยดน้ำกลับหัว บรรจุต่อมพิษ มีเข็มที่ใช้ต่อย คือ เหล็กใน สำหรับฉีดพิษ เพื่อล่าเหยื่อและป้องกันตัว
แมงป่องช้าง พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนในหลายพื้นที่ในทวีปเอเชีย เช่น กัมพูชาลาวไทยเวียตนามอินเดียศรีลังกาเนปาลจีน และธิเบต[2][3] จนถึงมาเลเซียสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย[4] โดยมักจะหลบซ่อนในที่ ๆ ไม่มีแสงสว่าง ปราศจากการรบกวน เช่น ใต้ก้อนหิน, ท่อนไม้ หรือใต้ใบไม้ เป็นต้น ออกหากินในเวลากลางคืน ชอบอุณหภูมิแบบร้อนชื้นประมาณ 20-30 องศาเซลเซียส[5]
แมงป่องช้างเป็นสัตว์ดุ[6] กินอาหาร ได้แก่ พวกสัตว์ตัวเล็ก ๆ เช่น แมงมุมบึ้งกิ้งกือหนอน และแมลงอื่น ๆ โดยจะกินขณะที่เหยื่อยังไม่ตาย แมงป่องช้างจะใช้ก้ามจับเหยื่อก่อนแล้วใช้หางที่มีเหล็กในต่อยเหยื่ออย่างรวดเร็วซ้ำหลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งเหยื่อตายแมงป่องจึงจะใช้ก้ามเล็ก ๆ 1 คู่ ตัดอาหารออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนที่จะกิน รวมถึงกินพวกเดียวกันเองด้วย แมงป่องช้างตัวเมียจะกินตัวผู้หลังผสมพันธุ์เสร็จ[6]
แมงป่องช้าง แม้จะมีลำตัวขนาดใหญ่ น่าเกรงขาม แต่ทว่าพิษกลับไม่สามารถทำอันตรายมนุษย์ให้ถึงแก่ชีวิตได้[4] หลังการผสมพันธุ์แมงป่องช้างตัวเมียจะตั้งท้อง โดยจะมีการขยายตัวของกล้ามเนื้อที่ยึดระหว่างปล้องที่ 3 ถึงปล้องที่ 7 แม่แมงป่องช้างจะตั้งท้องนานประมาณ 7 เดือนถึง 1 ปี จากนั้นจะออกลูกออกมาเป็นตัวในช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ช่วงฤดูฝนที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์

วงจรชีวิต[แก้]

แมงป่องช้างตัวผู้จะมีลักษณะเรียว หางยาวและก้ามใหญ่ แถบข้างลำตัวสีขาวอมเทา เมื่อถูกบุกรุกจะชูก้าม ชูหางข่มคู่ต่อสู้ ส่วนตัวเมียส่วนท้องจะอ้วนและโตกว่า แถบข้างลำตัวสีขาวอมเทา [5]
ก่อนตกลูก แม่แมงป่องจะซ่อนตัวในที่ปลอดภัย ลูกแมงป่องเกิดใหม่จะคลานไปมาบริเวณใต้ท้องแม่ ส่วนแม่แมงป่องจะงอขาคู่แรกรองรับลูกบางตัวเอาไว้ และกางอวัยวะคล้ายหวี ออกเต็มที่เพื่อให้ช่องสืบพันธุ์อยู่พ้นจากพื้นดินให้มากที่สุด หากอวัยวะคล้ายหวีส่วนนั้นสัมผัสพื้นจะไม่ยอมคลอด เพราะลูกอาจมีอันตราย
แมงป่องช้างตกลูกครั้งละประมาณ 7-28 ตัว ด้วยอัตราประมาณ 1 ตัว/1 ชั่วโมง ดังนั้นแม่แมงป่องจึงใช้เวลาตกลูกแต่ละครอกนานมาก ตั้งแต่ 12-24 ชั่วโมง ลูกแมงป่องเกิดใหม่จะปีนขึ้นไปเกาะกลุ่มเป็นก้อนสีขาวยั้วเยี้ยบนหลังแม่แมงป่อง ซึ่งระยะนี้แม่แมงป่องจะกินอาหารและน้ำน้อยมาก และไม่เคลื่อนย้ายไปไหนหากไม่จำเป็น เพราะต้องคอยระวังภัยให้ลูก ส่วนลูกแมงป่องจะอยู่บนหลังแม่นานถึงสองสัปดาห์โดยไม่กินน้ำและอาหารเลย
ลูกแมงป่องช้างแรกเกิดมีสีขาวล้วน ยกเว้นตาที่เป็นจุดดำสองจุด ตามลำตัวอาจมีจุดสีดำหรือน้ำตาล ตัวอ่อนนุ่มนิ่ม อ้วนกลมเป็นปล้อง ๆ ส่วนหางสั้น ลำตัวเมื่อยืดหางออกเต็มที่ยาว 1.3 เซนติเมตร และหนัก 0.2 กรัม ในสามวันแรกลักษณะภายนอกไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด ส่วนใหญ่ลูกแมงป่องจะเกาะกลุ่มกันอยู่นิ่ง ๆ กระทั่งหลังวันที่ 5 สีของลูกแมงป่องช้างจะเข้มขึ้น จากสีขาวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน เมื่ออายุ 7 วัน ลูกแมงป่องช้างมีขนาด 1.7 เซนติเมตร หนัก 0.18 กรัม เคลื่อนไหวมากขึ้น และอาจไต่ไปมาบนหลังแม่
ในช่วงที่อยู่บนหลังแม่นี้ ลูกแมงป่องช้างได้พลังงานและน้ำจากการสลายไขมันที่สะสมอยู่ในลำตัวที่อ้วนกลม จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่แรกเกิดกระทั่งถึงระยะนี้ และไม่พบการเรืองแสง
ลูกแมงป่องช้างจะลอกคราบครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 11 วัน หลังลอกคราบลักษณะภายนอกจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากลำตัวอวบอ้วนสีขาวเปลี่ยนเป็นลำตัวผอมเพรียวสีน้ำตาลเข้ม เริ่มเคลื่อนไหวรวดเร็ว ลูกแมงป่องบางตัวจะขึ้น ๆ ลง ๆ จากหลังแม่ และเริ่มสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ยังคงไม่กินอะไรทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ลักษณะสำคัญที่เห็นได้ชัดคือเริ่มมีการเรืองแสงตามก้ามและขา ยกเว้นส่วนหลังและท้อง กระทั่งเข้าสู่วันที่ 14 แม้สีของลูกแมงป่องไม่ต่างจากตอนลอกคราบใหม่ ๆ นัก แต่กลับพบว่ามีการเรืองแสงเพิ่มมากขึ้น เมื่อลูกแมงป่องมีอายุประมาณ 15 วัน จะลงจากหลังแม่จนหมด และมีการเรืองแสงทั่วทั้งตัว ลำตัวยาว 2.7 เซนติเมตร น้ำหนัก 0.14 กรัม พร้อมแสดงท่าทางการยกหาง
หลังจากนี้เป็นต้นไป สีผิวของลูกแมงป่องจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น จะเคลื่อนไหวรวดเร็ว และชอบซุกตัวอยู่ตามซอกหิน ใต้ใบไม้ ลูก ๆ ที่เป็นอิสระจากแม่แล้วจะยังคงอาศัยอยู่ร่วมกันกับแม่ เนื่องจากยังล่าเหยื่อไม่ได้ก็จะคอยกินเศษอาหารที่เหลือจากแม่ จนกว่าจะสามารถล่าเหยื่อเองได้จึงจะแยกไปอยู่ตามลำพัง ลูกแมงป่องช้างเจริญเติบโตช้ามาก อายุ 1 เดือนมีขนาดราว 3.3 เซนติเมตร หนัก 0.32 กรัม อายุ 1 ปี มีขนาดราว 6 เซนติเมตร และหนักราว 2 กรัม ต้องใช้เวลาอีกนานนับปีและลอกคราบอีกหลายครั้งจึงจะโตเป็นตัวเต็มวัย โดยทั่วไปแมงป่องช้างจะมีอายุราว 3-5 ปี[7]
และบางครั้งหลังการผสมพันธุ์และคลอดลูก แมงป่องช้างตัวเมียจะจับตัวผู้หรือลูก ๆ กินเป็นอาหาร[5]

ความสำคัญ[แก้]

แมงป่องช้าง เป็นสัตว์ที่บางพื้นที่นิยมจับมากินเป็นอาหาร โดยให้โปรตีนเช่นเดียวกับสัตว์อื่น ๆ ปัจจุบันมีบางพื้นที่นิยมเพาะเลี้ยงกันในบ่อปูนซีเมนต์เป็นสัตว์เศรษฐกิจ เพื่อการบริโภค มีราคาซื้อขายกันในราคาที่สูง อีกทั้งบางเชื้อชาติ เช่น ชาวจีนชาวญี่ปุ่น เชื่อว่าอาจรับประทานแมงป่องช้างแล้ว มีสรรพคุณทางยาหลายอย่าง[7] โดยการเลี้ยงเพื่อการบริโภคใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือน หรือ 1 ปี [8]รวมถึงมีผู้นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลินเช่นเดียวกับ บึ้ง ด้วย [5][4] ซึ่งแมงป่องช้างที่เพาะเลี้ยงออกมาซึ่งการเลี้ยงจะใช้เวลานานกว่าแบบที่เพาะเลี้ยงเพื่อการบริโภค[
เครดิต
ที่มาhttps://th.wikipedia.org/wiki/

วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560


หมีน้ำ[2] (Waterbears) หรือชื่อสามัญว่า ทาร์ดิกราดา (อังกฤษTardigrada) หรือ ทาร์ดิเกรด (Tardigrades) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tardigrada

การค้นพบ[แก้]

หมีน้ำถูกค้นพบครั้งแรกโดย โยฮานน์ ออกุสต์ อิปพาเรียม เกิทเซอ นักวิทยาศาสตรชาวเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1773 โดยคำว่า "Tardigrades" มีความหมายว่า "ตัวเดินช้า" (Slow walker)

ลักษณะ[แก้]

"หมีน้ำ" นั้นมาจากท่าทางการเดินของพวกมัน มีน้ำมีรูปร่างเหมือนหนอนตัวอ้วน ๆ มีรูปร่างเป็นปล้อง มีขนาดเล็กจนแทบมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เมื่อโตเต็มที่มีขนาดเพียง 1.5 มิลลิเมตร ส่วนตัวที่เล็กที่สุดมีขนาดเพียง 0.1 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงตัวอ่อนมีขนาดเพียง 0.05 มิลลิเมตร มีขา 8 ขา มีเล็บที่แหลมคม มีสีสันแตกต่างหลากหลายออกไป ทั้งสีแดง, ขาว, ส้ม, เหลือง, เขียว, ม่วง และดำ เชื่อว่ามีมากกว่า 1,000 ชนิด โดยมากเป็นพวกกินพืช ส่วนน้อยกินแบคทีเรีย และกินสัตว์ และสามารถพบได้ทั่วโลก

ความทรหด[แก้]

หมีน้ำได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่มีความทรหดที่สุดในโลก พบได้ตั้งแต่ที่ยอดเขาหิมาลัยที่ความสูงกว่า 6,000 เมตร จนถึงในทะเลลึกถึง 4,000 เมตร ไม่ว่าจะเป็นที่ขั้วโลก หรือในบริเวณเส้นศูนย์สูตร ชอบอาศัยอยู่ที่ต้นมอส และพวกเห็ดราต่าง ๆ แต่ยังสามารถพบได้ตามทราย, ชายหาด, พื้นดิน, แร่ธาตุ และในตะกอนน้ำ อยู่ได้ในที่ ๆ มีแรงดันสูงถึง 6,000 เอทีเอ็ม ซึ่งแรงดันปกติที่มนุษย์อยู่ทุกวันนี้คือแรงดันบรรยากาศ มีค่าเท่ากับ 1 เอทีเอ็มเท่านั้น ซึ่งแรงดันที่หมีน้ำทนได้นั้นมากกว่าแรงดันของทะเลที่ลึกที่สุดในโลกถึง 6 เท่าตัว
นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นสัตว์ที่ทนต่อรังสีต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งรังสียูวีและสารเคมีต่าง ๆ และสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า -272.8 องศาเซลเซียส (ได้ประมาณ 1 นาที) และที่ -200 องศาเซลเซียส (อยู่ได้ประมาณ 1 วัน) สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 151 องศาเซลเซียส และสามารถอดน้ำได้นานถึง 200 ปี และถึงแม้ว่าจะถูกปล่อยให้แห้งตายนานกว่า 100 ปี ก็สามารถฟื้นกลับมามีชีวิตได้หากได้น้ำ
ปัจจุบันยังไม่เป็นที่แน่ชัดกว่า หมีน้ำเกิดขึ้นครั้งแรกบนโลกตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทว่าซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุในอยู่ช่วงกลางของยุคแคมเบรียน นับว่ามีความเก่าแก่กว่าไดโนเสาร์เสียอีก

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แมงมุมหมาป่า
แมงมุมหมาป่าเป็นสมาชิกของครอบครัว Lycosidae จากคำในภาษากรีกโบราณ "λύκος" ความหมาย "หมาป่า" พวกเขาเป็นนักล่าที่มีประสิทธิภาพและคล่องตัวมีสายตาที่ดีเยี่ยม พวกเขาส่วนใหญ่อาศัยอยู่โดดเดี่ยวและล่าคนเดียว บางคนเป็นนักล่าฉวยโอกาส pouncing เมื่อเหยื่อที่พวกเขาพบว่ามันหรือแม้กระทั่งไล่มันไปเป็นระยะทางสั้น ๆ บางคนจะรอให้ผ่านเหยื่อในหรือใกล้ปากโพรงที่ แมงมุมหมาป่าสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 11 ปีหากได้รับที่อยู่อาศัยที่ถูกต้อง. [อ้างจำเป็น]

แมงมุมหมาป่าคล้ายแมงมุมเว็บเนอสเซอรี่ (ครอบครัว Pisauridae) แต่แมงมุมหมาป่าพกถุงไข่ของพวกเขาโดยการแนบพวกเขาที่จะเส้นใยของพวกเขา (Pisauridae พกถุงไข่ของพวกเขาด้วย chelicerae และ pedipalps ของพวกเขา) สองแมงมุมหมาป่าแปดตามีขนาดใหญ่และโดดเด่นซึ่งแตกต่างจากพวกแมงมุมเว็บสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีตามีทุกขนาดเท่ากันโดยประมาณ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้แตกต่างจากพวกแมงมุมหญ้า

หลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
 เป็นบทสรุปของเศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง คือ สรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้
 3 ห่วง คือ ทางสายกลาง ประกอบไปด้วย ดังนี้
           ห่วงที่ 1 คือ พอประมาณ หมายถึง พอประมาณในทุกอย่าง ความพอดีไม่มากหรือว่าน้อยจนเกินไปโดยต้องไม่เบียดเบียนตนเอง หรือผู้อื่นให้เดือดร้อน
           
ห่วงที่ 2 คือ มีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ
          
 ห่วงที่ 3 คือ มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล

  2 เงื่อนไข ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่
           
 เงื่อนไขที่ 1 เงื่อนไขความรู้ คือ มีความรอบรู้เกี่ยวกับ วิชาการต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการ วางแผน และความระมัดระวังในขั้นตอนปฏิบัติ คุณธรรมประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
           
 เงื่อนไขที่ 2 เงื่อนไขคุณธรรม คือ มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

Shanti Deva
ในปี 1930 ซานติ เทวี หญิงสาวอายุ 4 ขวบ จากนิวเดลี ประเทศอินเดีย ได้บอกพ่อแม่ของเธอว่า ชาติก่อนเธอเป็นแม่ลูกสาวที่ตายจากการคลอด โดยสามีของเธอคือเกฐานารถ ทั้งเธอและสามีอาศัยอยู่ในเมืองมัตทรา(หรือ Mathura) ตอนแรกพ่อแม่ของเธอนึกว่าเป็นบ้า จึงพาเธอไปพบกับแพทย์ และเมื่ออยู่ต่อหน้าแพทย์เธอก็เล่าเรื่องของเธออย่างละเอียดยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์ลูกคนแรก วัยที่เธอตายในระหว่างเด็กอยู่ในท้องเมื่อ 1925 ซานติได้รับการตรวจสอบจากแพทย์ถึง 6 คนด้วยกัน แต่ไม่มีแทย์คนใดหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอได้เลย อย่างไรก็ดีญาติของซานติเริ่มตรวจสอบสิ่งที่เธอเล่าโดยตามหาชายที่ซาติอ้างว่าเป็นสามีของเธอ ก่อนจะพบว่ามีชายคนที่ว่าอยู่เมืองมัตทราจริง และเขามีลูกสองคนจริง แต่ชายดังกล่าวไม่กล้าไปพบกับชาติภรรยากลับชาติมาเกิดของเขา เขาเลยส่งญาติไปและเมื่อญาติไปถึงซาติก็จำเขาได้ทันทีและเล่ารายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับญาติคนนี้ ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าการระลึกชาติมีอยู่จริง หากแต่กระนั้นครอบครัวของซานติ และครอบครัวของสามีชาติที่แล้วของซานติก็ไม่ได้เกี่ยวดองกัน หรือมีเรื่องกันแต่อย่างใด สุดท้ายซานติได้ใช้ชีวิตเป็นเด็กหญิงธรรมดาในชาติใหม่ของเธอจนถึงปัจจุบัน
ที่มา http://teen.mthai.com/variety/74336.html

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

คางคกบ้าน Common toad

คางคกบ้าน (อังกฤษAsian common toad, Black-spined toadชื่อวิทยาศาสตร์Duttaphrynus melanostictus) หรือ ขี้คันคาก ในภาษาอีสานและภาษาลาว หรือที่นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า คางคก
เป็นสัตว์ในวงศ์คางคก (Bufonidae) ชนิดหนึ่ง จัดว่าเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในวงศ์นี้ มีผิวหนังที่แห้งและมีปุ่มปมทั้งตัว ที่เป็นปุ่มพิษ โดยเฉพาะหลังลูกตา มีรูปทรงกลมคล้ายเมล็ดถั่วขนาดยาวประมาณ 25 มิลลิเมตร กว้าง 10 มิลลิเมตร แผ่นหูมีลักษณะเห็นได้ชัดเจน ขนาดเล็กกว่าลูกตาเล็กน้อย
มีสีผิวหนังเป็นสีน้ำตาลหรือสีเทาตลอดทั้งลำตัว บริเวณรอบปุ่มพิษจะมีสีเข้มกว่าบริเวณอื่น ๆ ใต้ท้องเป็นสีน้ำตาลเหลืองอ่อน ในขณะที่ยังเป็นวัยอ่อนจะเป็นสีขาวซีดกว่า
มีขนาดวัดจากปลายปากจนถึงก้นประมาณ 68-105 มิลลิเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในวงกว้างในทวีปเอเชีย ตั้งแต่แนวเทือกเขาหิมาลัยอินเดียจีนตอนใต้, พม่า, ทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และพบได้ทั่วไปในทุกสภาพแวดล้อม ทั้งในเมืองใหญ่และในป่าดิบ
เป็นสัตว์ที่ไม่อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำยกเว้นการผสมพันธุ์และวางไข่ จะมีฤดูผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงฤดูร้อนจนถึงปลายฤดูฝน (มีนาคม-กันยายน) เป็นสัตว์ที่กินแมลงและอาหารได้หลากหลายมาก พบชุกชุมในช่วงฤดูฝน [2] [3]
คางคก มักเป็นสัตว์ที่มีผู้นิยมรับมารับประทานทั้ง ๆ ที่มีพิษ มักมีผู้เสียชีวิตบ่อย ๆ จากการรับประทานเข้าไป โดยเชื่อว่าเป็นยาบำรุงและรักษาโรคต่าง ๆ ได้ โดยพิษของคางคกนั้นไม่สามารถทำให้หายไปได้ด้วยความร้อน[4]
ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

กิล่ามอนสเตอร์Gila monster
เป็นกิ้งก่ามีพิษชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heloderma suspectum พบในเขตทะเลทรายอริโซน่าทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา กิล่ามอนสเตอร์มีความยาวถึงสองฟุต จัดเป็นกิ้งก่าขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในประเทศสหรัฐอเมริกา ลำตัวมีลายดำ ชมพู ส้ม และเหลือง อุปนิสัยเชื่องช้า มักหลบในโพรงเป็นส่วนใหญ่ ล่าสัตว์จำพวกหนู นก และไข่ต่าง ๆ เป็นอาหาร กิล่ามอนสเตอร์สามารถผลิตพิษที่มีผลต่อระบบประสาทของเหยื่อ โดยพิษจะส่งเข้าสู่เหยื่อผ่านทางฟันทางกรามล่าง แต่พิษนี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตต่อมนุษย์
กิล่ามอนสเตอร์เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีการคุ้มครองโดยกฎหมาย ทั้งในท้องถิ่นคือกฎหมายรัฐอริโซน่า และในระดับประเทศคือกฎหมายประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเม็กซิโก ส่วนในระดับนานาชาติกิล่ามอนสเตอร์เป็นสัตว์ในบัญชีหมายเลข ๒ ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ (CITES) โดยห้ามส่งออกหรือนำเข้าโดยปราศจากใบอนุญาต ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม[1]
สำหรับในประเทศไทยมีการจัดแสดงในสวนสัตว์ดุสิตในช่วงปลายปี พ.ศ. 2554 ถึงต้นปี พ.ศ. 2555[2]
ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/